สรุปสาระสำคัญ
โครงการแนวทางการป้องกันการใช้สารเสพติด (วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน จัดทำขึ้นโดยกลุ่มการเวก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม (Crime Prevention) ภายใต้การกำกับของสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาการใช้สารเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยซึ่งนับวันยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบของวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและยาเสพติดที่ไม่อยู่ในบัญชีควบคุมตามกฎหมาย ซึ่งถูกใช้แทนสารเสพติดแบบเดิมๆ เนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงข้อบังคับทางกฎหมายได้ง่าย ปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงปัญหาสุขภาพ แต่เกี่ยวพันกับการกระทำผิดซ้ำในคดีอาญา ปัญหาอาชญากรรมในสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และเป็นภาระของกระบวนการยุติธรรมโดยตรง
จากข้อมูลเชิงสถิติ พบว่า ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคิดเป็นกว่า 78.65% ของคดีทั้งหมดในเรือนจำ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่พ้นโทษจากคดียาเสพติดมีแนวโน้มสูงที่จะกระทำผิดซ้ำภายใน 2-3 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 24 ปี เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ค้าสารเสพติดโดยเฉพาะในรูปแบบของ “Club Drugs” หรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่สามารถหาได้ง่ายในร้านขายยาทั่วไป เช่น คีตามีน ซาแนกซ์ แอลปราโซแลม ซึ่งนิยมผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อใช้ในสถานบันเทิงหรือกิจกรรมสังสรรค์ การใช้สารเหล่านี้ก่อให้เกิดอาการมึนเมา ขาดสติ และถูกนำไปใช้ในกระบวนการก่ออาชญากรรม เช่น การล่วงละเมิดทางเพศ การค้ามนุษย์ หรือการปล้นทรัพย์ ปัญหานี้จึงส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ใช้ ครอบครัว ชุมชน และระบบยุติธรรมโดยรวม
สาเหตุของการใช้สารเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนมีความหลากหลาย ตั้งแต่ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น ความอยากรู้อยากลอง ความคึกคะนอง ความเครียด การป่วยทางกายหรือจิตใจ การถูกชักชวนจากเพื่อนหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ไปจนถึงการถูกหลอกลวงโดยแฝงสารเสพติดในอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่แนวทางการแก้ไขควรเน้นการป้องกันมากกว่าการปราบปราม โดยใช้กรอบแนวคิด 6 ด้านของการป้องกันอาชญากรรม ได้แก่ การออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกัน การมีส่วนร่วมของประชาชน การป้องกันการกระทำผิดซ้ำ การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง การลดโอกาสตกเป็นเหยื่อ และการพัฒนาบุคลากรด้านการป้องกันอาชญากรรม
ในการดำเนินโครงการนี้ยังได้อิงแนวคิดและทฤษฎีทางจิตวิทยาและอาชญาวิทยาหลายประการ เช่น แนวคิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนในเด็ก แนวคิดพัฒนาการทางจริยธรรมของ Piaget และ Kohlberg ซึ่งอธิบายพฤติกรรมผิดในเด็กว่าเกิดจากการขาดแนวทางหรือกรอบจริยธรรมที่มั่นคง และจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่ผิดพลาด โดยเฉพาะจากครอบครัวที่เลี้ยงดูแบบใช้การควบคุมสูงโดยขาดความเข้าใจ หรือขาดการเลี้ยงดู altogether ซึ่งทำให้เด็กขาดภูมิคุ้มกันทางสังคมและจิตใจ
โครงการจึงเน้นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย การสอดส่องพฤติกรรมของเด็กในชุมชน การให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติดและวิธีการเลี้ยงดูที่เหมาะสม เช่น การใช้เหตุผลและการให้ความรักอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดระบบการเฝ้าระวังที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ในด้านกระบวนการยุติธรรม โครงการนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดจำนวนคดีอาญาในกลุ่มเยาวชน ลดภาระของศาลเยาวชนและศาลทั่วไป ตลอดจนเป็นการป้องกันการเข้าสู่เรือนจำของเด็กและเยาวชน ซึ่งหากไม่สามารถหยุดยั้งได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เด็กที่ติดยาอาจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมถาวรและกลายเป็นผู้ต้องขังในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ การสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน และชุมชน จึงเป็นหัวใจของการป้องกันอาชญากรรมอย่างยั่งยืน
โครงการได้สรุปแนวทางปฏิบัติไว้หลายประการ เช่น 1) การจัดอบรมให้ครอบครัวและชุมชนมีความรู้เรื่องยาเสพติดและวิธีป้องกัน 2) การสร้างเครือข่ายอาสาสมัครในชุมชน 3) การส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเยาวชนเพื่อลดเวลาว่างและความเสี่ยงในการใช้สารเสพติด 4) การสร้างกลไกเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสอย่างมีประสิทธิภาพ 5) การพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ครอบคลุมด้านสุขภาวะ จริยธรรม และการตัดสินใจเชิงคุณธรรม
โดยสรุป โครงการนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่วงจรยาเสพติดและอาชญากรรมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและใช้วิธีการที่อิงหลักวิชาการ มีการวางแผนระยะยาวที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่แก้ไขที่ปลายเหตุแต่เน้นการสร้างต้นทุนทางสังคมที่มั่นคง โดยเน้นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน ผู้ปกครอง ครู อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่รัฐ โครงการนี้จึงเป็นรูปแบบของการป้องกันอาชญากรรมเชิงระบบที่ควรขยายผลในระดับชาติ
กลุ่มเป้าหมายของโครงการ
กลุ่มเป้าหมายหลักคือเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 24 ปี รวมถึงผู้ปกครอง ชุมชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีบทบาทในการดูแลและส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก
ความเกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม
โครงการนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมผ่านการลดภาระของศาลและเรือนจำ โดยลดคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด ป้องกันการเข้าสู่ระบบยุติธรรมของเยาวชน และช่วยลดการกระทำผิดซ้ำในคดีอาญา
ผลลัพธ์ของโครงการ
เกิดการสร้างเครือข่ายในชุมชน ครอบครัวมีบทบาทมากขึ้นในการป้องกันยาเสพติด เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์และห่างไกลจากยาเสพติด มีการประสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นระบบ
การตอบเป้าหมายตามแผนพัฒนา
- การสร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมาย - โครงการเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของการใช้สารเสพติดและการเสริมสร้างค่านิยมที่ดีในหมู่เด็กและเยาวชน เพื่อป้องกันการกระทำผิดและส่งเสริมการเคารพกฎหมายในสังคม
- การปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดบนหลักสิทธิมนุษยชน - โครงการส่งเสริมการฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับสารเสพติดตามหลักสิทธิมนุษยชน และเน้นการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในกลุ่มเยาวชนที่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
- การบังคับใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ - โครงการเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดเพื่อควบคุมและลดการใช้สารเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึงการดำเนินมาตรการเชิงป้องกันอย่างจริงจัง
- การยกระดับกลไกการทํางานเชิงเครือข่าย - โครงการเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ครอบครัว และชุมชนในการป้องกันปัญหายาเสพติดในเยาวชน ซึ่งเป็นการยกระดับการทำงานเชิงเครือข่ายอย่างเป็นระบบ